การเลี้ยงปลาแรดในกระชัง |
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554
แนวโน้มการเลี้ยงปลาแรดในอนาคต
แนวโน้มการเลี้ยงปลาแรดในอนาคต
การเลี้ยงปลาแรดส่วนใหญ่ได้พันธุ์ปลามาจากการรวบรวมจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
และการเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีธรรมชาติ
ในอนาคตหากกรมประมงประสบความสำเร็จในการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นพ่อแม่พันธุ์
แล้วปล่อยให้ผสมพันธุ์แบบธรรมชาติได้ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ดี
เพราะสามารถกำหนดและคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้ ทั้งยังอาจจะให้ปริมาณไข่มากกว่าด้วย
อันจะเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เลี้ยงปลาแรดได้มีพันธุ์ปลาเพียงพอต่อการเลี้ยง และสนองตอบความต้องการของตลาดผู้บริโภคปลาเนื้อและปลาสวยงาม
นอกนากการเลี้ยงปลาแรดในกระชัง ขณะนี้มีเกษตรกรบางรายเลี้ยงปลานิลในกระชัง
การเลี้ยงปลาแรดส่วนใหญ่ได้พันธุ์ปลามาจากการรวบรวมจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
และการเพาะพันธุ์ปลาโดยวิธีธรรมชาติ
ในอนาคตหากกรมประมงประสบความสำเร็จในการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นพ่อแม่พันธุ์
แล้วปล่อยให้ผสมพันธุ์แบบธรรมชาติได้ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ดี
เพราะสามารถกำหนดและคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้ ทั้งยังอาจจะให้ปริมาณไข่มากกว่าด้วย
อันจะเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เลี้ยงปลาแรดได้มีพันธุ์ปลาเพียงพอต่อการเลี้ยง และสนองตอบความต้องการของตลาดผู้บริโภคปลาเนื้อและปลาสวยงาม
นอกนากการเลี้ยงปลาแรดในกระชัง ขณะนี้มีเกษตรกรบางรายเลี้ยงปลานิลในกระชัง
วัชพืชอาหารชั้นดี
รู้ไว้ก่อนเลี้ยง : วัชพืชอาหารชั้นดี "ปลาแรด" (3)
ทีนี้มาว่ากันถึงการอนุบาลลูกปลาแรด ซึ่งบ่ออนุบาลลูกปลา ควรมีขนาด 400-800 ตารางเมตร โดยปล่อยในอัตรา 1 แสนตัวต่อไร่ ส่วนบ่อซีเมนต์ 5 ตัวต่อตารางเมตร ในช่วง 10 วันแรกที่ลงบ่อดินให้ไรแดงเป็นอาหาร 10 วันต่อมาให้ไรแดงและรำผสมปลาป่น อัตราส่วน 1 ต่อ 3 สาดให้ทั่วบ่อ
หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นอาหารต้มหรืออาหารเม็ดลอยน้ำ วันละประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ต้องอนุบาลจนกระทั่งลูกปลามีขนาด 3 นิ้ว เพื่อนำไปเลี้ยงเป็นปลาขนาดตลาดต้องการต่อไป ซึ่งลูกปลา 1 เดือนจะมีขนาดยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เดือนที่ 2 จะมีความยาว 2-3 เซนติเมตร ซึ่งจะเป็นขนาดลูกปลาที่นำไปเลี้ยงเป็นปลาโตต่อไป
แต่เนื่องจากขณะนี้การเพาะพันธุ์ปลาแรดเพื่อจำหน่ายลูกยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะรวบรวมลูกปลาจากธรรมชาติมากกว่า ทำให้เกษตรกรที่สนใจอยากจะเลี้ยงปลาชนิดนี้ ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องพันธุ์ปลา
ส่วนการเลี้ยงที่นิยมของเกษตรกรนั้น จะมี 2 ลักษณะคือ การเลี้ยงในบ่อดินและการเลี้ยงในกระชัง ซึ่งการเลี้ยงปลาแรดในบ่อดินนั้นจะมีอัตราปล่อย 1 ตัวต่อตารางเมตร ขนาดบ่อที่ใช้เลี้ยง 1-5 ไร่ จะใช้เวลาเลี้ยง 1 ปี ปลาจะมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
การเลี้ยงในบ่อดินนั้นสามารถปล่อยปลาแรดลงเลี้ยงรวมกับปลากินพืชอื่นๆ ได้ ถ้าให้ดีในบ่อจะต้องมีพืชน้ำหรือวัชพืชขึ้น เพื่อให้ปลาแรดกินและเป็นการทำความสะอาดบ่อไปในตัว เพราะปลาชนิดนี้ชอบกินพืชน้ำ ไข่น้ำ แหน ผักพังพวย ผักบุ้ง เศษอาหารที่เหลือจากโรงครัว แมลงในน้ำ ตัวหนอน ไส้เดือน และปลวก เป็นอาหาร
แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงปลาชนิดนี้เพื่อความสวยงาม โดยจะนิยมเลี้ยงในบ่อซีเมนต์หรือตู้กระจกที่ไม่กว้างนัก เพราะปลาแรดสามารถปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ในที่แคบได้ แต่มีอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า นอกจากเลี้ยงในบ่อดินแล้ว ยังนิยมเลี้ยงในกระชัง อย่างที่แม่น้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำจะนิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้กันมาก
จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันการเลี้ยงปลาแรดในกระชังได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนจากกระชังไม้มาเป็นกระชังเนื้ออวน ซึ่งเหมาะสมกับภาวะปัจจุบันที่ขาดแคลนไม้ในการสร้างกระชัง ดังนั้นการเตรียมสถานที่เลี้ยงปลาในกระชังจะต้องสร้างแพ พร้อมทั้งมุงหลังคากันแดด
โดยแพที่สร้างใช้ไม้ไผ่มัดรวมกันและเว้นที่ตรงกลางให้เป็นช่องสี่เหลี่ยมเพื่อนำกระชังตาข่ายไปผูก โดยกระชังตาข่ายนั้นจะมีขนาดกว้าง 3 วา ยาว 6 วา ลึก 1.8 เมตร ซึ่งกระชังขนาดดังกล่าวสามารถเลี้ยงปลาแรดขนาด 3 นิ้ว ได้ถึง 3,000 ตัว
โครงการวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
โครงการวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
โครงการพัฒนาประมงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
1. กิจกรรมวิจัยและสาธิตการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม
ทำการปรับปรุงบ่อกุ้งกุลาดำของเกษตรกรโดยคัดเลือกเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม บ่อขนาด 2 ไร่ จำนวน 4 ราย 4 บ่อ พื้นที่รวมรวม 8 ไร่ ปล่อยกุ้งก้ามกรามในอัตรา 50,000 ตัว/ไร่ โดยซ่อมแซม และปรับปรุง ระบบน้ำเข้าน้ำออกบางส่วน ดำเนินการวิจัยและทดลองการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามโดยศึกษาข้อมูลการเจริญเติบโต การให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ผลผลิต และต้นทุน – ผลตอบแทนของการเลี้ยงทั้งหมดในบ่อที่เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำมาก่อน ผลการศึกษามีดังนี้
ตารางที่ 1 การเจริญเติบโตและผลผลิตกุ้งก้ามกรามในบ่อดินของเกษตรกร อำเภอปากพนังและอำเภอ เชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
1. ขนาดกุ้งที่ปล่อย(ซม.) 2. อัตราการปล่อย (ตัว/ไร่) 3. ระยะเวลาเลี้ยง (วัน) 4. อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (% กรัม / วัน) 5. ผลผลิต (กิโลกรัม/ไร่) 6. อัตรารอดตาย(%) 7. ขนาดกุ้งที่จับได้(ตัว/กิโลกรัม) 8. อัตราการแลกเนื้อ(FCR) | 2.3 50,000 120 6.33 450 45.50 50 1.75 |
ตารางที่ 2 ต้นทุน รายได้ และผลตอบแทนการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ในบ่อดินขนาด 1 ไร่
1. ค่าพันธุ์กุ้งก้ามกราม (บาท) 2. ค่าอาหารกุ้งก้ามกราม (บาท) 3. ค่าปูนขาวและยารักษาโรค (บาท) 4. ค่าแรงและอื่นๆ (บาท) 5. ราคาขายกุ้งก้ามกราม (บาท/ไร่) 6. รายได้ทั้งหมด (บาท/ไร่) 7. กำไรเบื้องต้น (บาท) | 7,500 27,500 1,800 2,550 120 54,000 14,650 |
ข้อเสนอแนะ
1. ควรส่งเสริมเฉพาะเกษตรกรก้าวหน้า ที่มีเงินทุนของตนเองเพียงพอ
2. บ่อควรอยู่ติดกับคลองส่งน้ำ สามารถถ่ายเปลี่ยนน้ำได้ตลอดการเลี้ยง
3. ควรพัฒนาระบบการอนุบาลและการเลี้ยงกุ้งแบบย้ายบ่อและทยอยจับ
4. การเลี้ยงกุ้งครั้งนี้ มีอัตราการรอดตายต่ำ เนื่องจากการลำเลียงและต่อมามีฝนตกหนักในขณะที่กุ้งอยู่ระหว่างการลอกคราบ
2. กิจกรรมการวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลากดเหลือง
ปรับปรุงบ่อกุ้งของเกษตรกร โดยทำการคัดเลือกเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมบริเวณประตูระบายน้ำเชียรใหญ่ บ่อขนาด 1 ไร่ ขึ้นไป จำนวน 5 ราย 5 บ่อ โดยซ่อมแซมและปรับปรุงระบบน้ำเข้าออก หรือพื้นบ่อ พร้อมทั้งสนับสนุนปัจจัยการผลิตและอุปกรณ์ฟาร์มบางส่วน ดำเนินการวิจัยและทดสอบเลี้ยงปลากดเหลือง โดยดำเนินการศึกษาวิจัยทดสอบถึงรูปแบบที่เหมาะสม
1. การพัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์ และการอนุบาลลูกปลากดเหลืองเป็นปลานิ้ว
2. การอนุบาลลูกปลาลูกปลากดเหลืองจากปลานิ้วเป็นปลารุ่น
3. การเลี้ยงปลารุ่นเป็นปลาขนาดตลาด (250 กรัมขึ้นไป)
โดยการศึกษาข้อมูลการเจริญเติบโต ชนิดและการให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ผลผลิตและต้นทุน – ผลตอบแทนของการผลิตทั้งหมด ตลอดจนการเลี้ยงในระบบไร่นาสวนผสมผลการศึกษามีดังนี้
ตารางที่ 3 การเจริญเติบโตและผลผลิตการเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดิน
1. ขนาดปลาที่ปล่อย (ซม.) 2. อัตราการปล่อย (ตัว/ไร่) 3. ระยะเวลาเลี้ยง (วัน) 4. อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (%กรัม/วัน) 5. ผลผลิต (กิโลกรัม/ไร่) 6. อัตรารอดตาย (%) 7. ขนาดปลาที่จับได้ (ตัว/กิโลกรัม) 8. อัตราการแลกเนื้อ (FCR) | 5.0 7,700 180 2.51 637 73.5 5.5 1.72 |
ตารางที่ 4 ต้นทุนรายได้ และผลตอบแทนการเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดินขนาด 1 ไร่
1. ค่าพันธุ์ปลา (บาท) 2. ค่าอาหารปลา (บาท) 3. ค่าปูนขาวและยารักษาโรค (บาท) 4. ค่าแรงงานและอื่นๆ (บาท) 5. ราคาขายปลีก (บาท / กิโลกรัม) 6. รายได้ทั้งหมด (บาท / ไร่) 7. กำไรเบื้องต้น (บาท) | 7,700 19,720 1,800 2,550 80 50,950 19,180 |
ข้อเสนอแนะ
1. ควรส่งเสริมเฉพาะเกษตรกรที่มีบ่อริมคลองส่งน้ำ สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำได้
2. ควรพัฒนาระบบการลำเลียงและการจัดจำหน่ายปลามีชีวิต
3. อาหารปลามีราคาสูงมาก ควรใช้ปลาสดผสมรำละเอียดสลับกับการใช้อาหารเม็ด
3. กิจกรรมการวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลาสลิด
ปรับปรุงบ่อกุ้งของเกษตรกรเพื่อเลี้ยงปลาสลิด โดยทำการคัดเลือกเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมบริเวณประตูระบายน้ำสุขุมและประตูระบายน้ำเชียรใหญ่ บ่อขนาด 1 ไร่ ขึ้นไป จำนวน 8ราย 8บ่อ โดยซ่อมแซมและปรับปรุงระบบน้ำเข้าออก หรือพื้นบ่อพร้อมสนับสนุนปัจจัยการผลิตและอุปกรณ์ฟาร์มบางส่วน ดำเนินการวิจัยและทดสอบการวิจัยและทดสอบการเลี้ยงปลาสลิด โดยดำเนินการศึกษาวิจัยและทดสอบถึงรูปแบบที่เหมาะสม ทั้งการเลี้ยงปลาสลิดชนิดเดียว และการเลี้ยงรวมกับปลาเศรษฐ์กิจชนิดอื่น และการเลี้ยงปลาในระบบไร่นาสวนผสม โดยศึกษาข้อมูลการเจริญเติบโต ชนิดและการให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ผลผลิและต้นทุน ผลตอบแทนของการผลิตทั้งหมด ดังนี้
ตารางที่ 5 การเจริญเติบโตและผลผลิตการเลี้ยงปลาสลิดในบ่อดิน
1. ขนาดปลาที่ปล่อย (ซม.) 2. อัตราการปล่อย (ตัว/ไร่) 3. ระยะเวลาเลี้ยง (วัน) 4. อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (% กรัม / วัน) 5. ผลผลิต (กิโลกรัม/ไร่) 6. อัตรารอดตาย (%) 7. ขนาดปลาที่จับได้ (ตัว / กิโลกรัม) 8. อัตราการแลกเนื้อ (FCR) | 5.0 3,000 180 1.65 235.5 78.5 10 1.75 |
ตารางที่ 6 ต้นทุน รายได้ และผลตอบแทนการเลี้ยงปลาสลิดในบ่อดินขนาด 1 ไร่
1.ค่าพันธุ์ปลา (บาท) 2. ค่าอาหารปลา (บาท) 3. ค่าปูนขาวและยารักษาโรค (บาท) 4. ค่าแรงงานและอื่นๆ (บาท) 5. ราคาขายปลา (บาท / กก.) 6. รายได้ทั้งหมด (บาท / ไร่) 7. กำไรเบื้องต้น (บาท) | 1,200 4,950 800 2,550 50 11,775 2,275 |
1. บ่อปลาในพื้นที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว น้ำมีฤทธิ์เป็นกรดรุนแรง ค่า pH ระหว่าง 4.0 – 5.0 เนื่องจากเป็นดินเปรี้ยว จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำก่อนการปล่อยปลา
2. ควรเน้นการเลี้ยงปลาสลิดร่วมกับปลาหมอไทยพื้นบ้านแบบหลายชนิดในบ่อเดียวกัน และควรปล่อยปลารุ่น เพื่อให้อัตราการรอดตายสูงและใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงสั้นลง ช่วงเวลาที่เหมาสม ควรอยู่ระหว่างกลางเดือนเมษายน ถึงปลายเดือนกันยายนของปี
3. การก่อสร้างบ่อปลา ควรเป็นลักษณะบ่อล่อปลาหรือในร่องสวน/ไร่นาสวนผสมหรือรูปแบบการเลี้ยงปลาในนาข้าว
4. กิจกรรมวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลาหมอไทย
ปรับปรุงการบ่อกุ้งของเกษตรกร โดยทำการคัดเลือกเกษตรกรที่มีคุรสมบัติที่เหมาะสมบริเวณประตูน้ำบางไทรและประตูน้ำสุขุม ในอำเภอปากพนัง บ่อขนาด 0.5 – 2.0 ไร่ จำนวน 7 ไร่ 7 บ่อ โดยซ่อมแซมและปรับปรุงระบบน้ำเข้าออก หรือพื้นบ่อพร้อมสนับสนุนปัจจัยการผลิตและอุปกรณ์ฟาร์มบางส่วน ดำเนินการวิจัยและทดสอบถึงรูปแบบที่เหมาะสมในการพัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์และการอนุบาลลูกปลาหมอไทย และการเลี้ยงปลาหมอไทยเป็นปลาขนาดตลาดโดยศึกษาข้อมูลการเจริญเติบโต ชนิดการให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ผลผลิตและต้นทุน – ผลตอบแทนของการผลิตทั้งหมด ตลอดจนการเลี้ยงในระบบไร่นาสวนผสม
ตารางที่ 7 การเจริญเติบโตและผลผลิตการเลี้ยงปลาหมอไทยในบ่อดินของเกษตรกร
1. จำนวนพ่อแม่พันธุ์ที่ปล่อย (คู่ /ไร่) 2. ปริมาณลูกปลาขนาด 1 นิ้ว (ตัว / ไร่) 3. ระยะเวลาเลี้ยง (วัน) 4. อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (% กรัม/ วัน) 5. ผลผลิต (กิโลกรัม/ ไร่) 6. อัตราการรอดตาย (%) 7. ขนาดปลาที่จับได้(ตัว/กิโลกรัม) 8. อัตราการแลกเนื้อ | 40 40,000 130 3.95 1,200 40 8-14 1.5 |
ตารางที่ 8 ต้นทุน รายได้ และผลตอบแทนการเลี้ยงปลาหมอไทยในบ่อดินขนาด 1 ไร่
1. ค่าพ่อแม่พันธุ์ปลา (บาท) 2. ค่าอาหารปลา (บาท) 3. ค่าปูนขาวและยารักษาโรค (บาท) 4. ค่าแรงและอื่นๆ(บาท) 5. ราคาขายปลา (บาท/กก.) 6. รายได้ทั้งหมด (บาท/ไร่) 7. กำไรเบื้องต้น (บาท) | 1,000 36,000 3,500 3,000 50 60,000 16,500 |
ข้อเสนอแนะ
1. ควรจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาหมอไทยและควบคุมปริมาณการเลี้ยง
2. ควรพัฒนาวิธีการจัดการบ่อเพื่อป้องกันละรักษาโรคพัฒนาระบบการลำเลียงและการตลาด
3. เร่งรัดงานวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ปลาหมอไทย
4. ขาดแคลนแหล่งน้ำจืดและน้ำมีความเค็มสูง ทำให้ผลผลิตปลาหมอไทยเสียหาย
5. กิจกรรมวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน
ดำเนินการวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อดิน ที่เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำมาก่อน จำนวน 4 ราย 4 บ่อ ในอำเภอปากพนังและอำเภอเชียรใหญ่ ทั้งการอนุบาลปลานิ้วจำหน่ายเป็นปลารุ่น และการเลี้ยงปลากะพงขาวชนิดเดียวแบบหนาแน่น ใช้เวลาการศึกษา 6 เดือน โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลการเจริญเติบโต ผลผลิตและการจำหน่ายผลผลิต ข้อมูลอยู่ระหว่างการดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมผล
6. กิจกรรมวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลาแรดในบ่อดิน
ดำเนินการวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลาแรดในบ่อดิน ที่เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำมาก่อน จำนวน 12 ราย 12 บ่อ ในอำเภอปากพนังและอำเภอเชียรใหญ่ ดำเนินการวิจัยและทดสอบการถึงรูปแบบที่เหมาะสม ทั้งการเลี้ยงปลาแรดชนิดเดียว การเลี้ยงรวมกับปลาเศรษฐ์กิจชนิดอื่นและการเลี้ยงปลาในระบบไร่นาสวนผสม เวลาศึกษา 12 เดือน โดยศึกษาข้อมูลการเจริญเติบโต ชนิดและการให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยงผลผลิตและต้นทุน – ผลตอบแทนของการผลิตทั้งหมด ข้อมูลอยู่ระหว่างการดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล
7. กิจกรรมวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลาในนาข้าว
ดำเนินการวิจัยและสาธิตการเลี้ยงปลากินพืชร่วมกันหลายชนิดในนาข้าว จำนวน 5 ราย 5 บ่อ ในอำเภอปากพนังและอำเภอเชียรใหญ่ ดำเนินการวิจัยและทดสอบผลผลิตการเลี้ยงปลาตะเพียนขาว ปลาไน ปลานิลและปลาดุกอุยเทศในนาข้าว พบว่ามีผลผลิตปลา ประมาณ240 กิโลกรัม / ไร่
8. กิจกรรมวิจัยการเลี้ยงปลาในกระชัง
คัดเลือกเกษตรกร ที่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรผู้นำที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำปากพนัง ในอำเภอปากพนัง อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอชะอวด จำนวน 35 ราย 35 กระชังสนับสนุนกระชังเลี้ยงปลาขนาด 35353 เมตร ทำการเลี้ยงปลากดเหลืองขนาดเฉลี่ย 200กรัม และสาธิตการเลี้ยงปลาในกระชังทุ่นลอย ขนาด 45352 เมตร เพื่อทดสอบการเลี้ยงปลาเศรษฐ์กิจอื่นๆ เช่นปลากดเหลือง ปลานิล ปลานิลแดง ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียนขาว และปลากะพงขาว โดยศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลการเจริญเติบโต การให้อาหาร ระยะเวลาการเลี้ยง ผลผลิตและต้นทุน – ผลตอบแทนของการผลิตทั้งหมด ผลศึกษาดังนี้
ตารางที่ 9 แสดงผลการเลี้ยงปลาในกระชังทุ่นลอย ขนาด 45352 เมตรในแม่น้ำปากพนัง
ชนิดปลา | กดเหลือง | กะพงขาว | นิลแดง | ตะเพียนขาว | ยี่สกเทศ |
ขนาดปลา (กรัม) อัตราการปล่อย (ตัว/กระชัง) ระยะเวลา (วัน) ขนาดจับ (ตัว/กก.) ผลผลิต (กก./กระชัง) ราคาจำหน่าย (บาท/กิโลกรัม) รายได้ (บาท/กระชัง) ค่าพันธุ์ปลา (บาท) ค่าอาหารปลา (บาท) กำไรเบื้องต้น (บาท/กระชัง) | 200 600 100 3 170 80 13,600 4,800 2,500 6,300 | 100 300 130 3 90 100 9,000 3,000 3,000 3,000 | 100 300 150 3 90 50 4,500 750 1,300 2,400 | 100 300 150 4 60 40 2,400 600 700 1,100 | 100 300 150 4 60 40 2,400 600 600 .1,200 |
ข้อเสนอแนะ
1. ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม น้ำมีความเค็มระหว่าง 10 –20 ppt.
2. ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม เป็นฤดูฝน น้ำหลากและไหลเชี่ยวแรง
3. ช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมกราคม มีปรสิตปลาระบาดมาก
4. สามารถเลี้ยงปลากะพงขาวได้ดี ระหว่างเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน ส่วนปลาน้ำจืด สามารถเลี้ยงได้ดี ระหว่างปลายเดือน มิถุนายน ถึงเดือนสิ่งหาคม
ที่มา รายงานสรุปผลการดำเนินงาน โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
กันยายน 2542 กรมประมง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)